วิธีเลือกครีมกันแดด ให้เหมาะกับสภาพผิวและกิจกรรม

141
วิธีเลือกครีมกันแดด ให้เหมาะกับสภาพผิวและกิจกรรม

การเลือกครีมกันแดดเป็นสิ่งที่สำคัญในการดูแลผิวพรรณในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะอยู่กลางแจ้งหรือต้องทำกิจกรรมในที่ร่ม รังสียูวีจากแสงแดดสามารถทำร้ายผิวและทำให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ได้ เช่น ริ้วรอยก่อนวัยและจุดด่างดำ ครีมกันแดดแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการป้องกันที่แตกต่างกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เราควรเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิวและลักษณะของกิจกรรมที่ทำ บทความนี้จะช่วยแนะนำ วิธีเลือกครีมกันแดด ที่เหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถดูแลผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นใจในทุกสถานการณ์


ประเภทของครีมกันแดด

ประเภทของครีมกันแดด

ครีมกันแดดมีหลากหลายประเภทที่ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับสภาพผิวและกิจกรรมต่างๆ โดยสามารถแบ่งประเภทหลักๆ ได้เป็นสองแบบคือ ครีมกันแดดแบบ Physical (Mineral) และ ครีมกันแดดแบบ Chemical ซึ่งแต่ละแบบมีคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป

1. ครีมกันแดดแบบ Physical (Mineral)

ครีมกันแดดประเภทนี้มีส่วนผสมหลักคือ สารสกัดจากแร่ธาตุธรรมชาติ เช่น ซิงก์ออกไซด์ (Zinc Oxide) และ ไทเทเนียมไดออกไซด์ (Titanium Dioxide) ที่ทำหน้าที่สะท้อนรังสียูวีออกจากผิวทันทีเมื่อทา ข้อดีของครีมกันแดดแบบ Physical คือทำงานทันทีหลังการทาและเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย เนื่องจากมีความเสี่ยงในการเกิดการระคายเคืยนน้อย อย่างไรก็ตาม ครีมกันแดดประเภทนี้มักจะมีเนื้อที่หนาและทิ้งคราบขาวไว้บนผิว ทำให้บางคนรู้สึกไม่สะดวกในการใช้

2. ครีมกันแดดแบบ Chemical

ครีมกันแดดแบบ Chemical ประกอบด้วยสารเคมีที่ทำหน้าที่ดูดซับรังสียูวีและเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผิว ส่วนผสมที่มักพบในครีมกันแดดประเภทนี้ได้แก่ อ็อกซี่เบนโซน (Oxybenzone) และ อาวโบบีโนน (Avobenzone) ข้อดีของครีมกันแดดแบบ Chemical คือมีเนื้อเบาบาง ซึมซาบง่าย และไม่ทิ้งคราบขาว ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันหรือเมื่อต้องการใช้เป็นเบสก่อนการแต่งหน้า อย่างไรก็ตาม อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย


เลือกครีมกันแดดตามสภาพผิว

เลือกครีมกันแดดตามสภาพผิวการเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลตัวเองหน้าร้อน เพราะสภาพผิวของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน หากเลือกใช้ครีมกันแดดที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาผิวตามมาได้ ดังนั้น การรู้จักสภาพผิวของตัวเองและเลือกใช้ครีมกันแดดที่เหมาะสมจะช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันการเกิดปัญหาผิวในระยะยาว

  • ผิวแห้ง: ผู้ที่มีผิวแห้งควรมองหาครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้น เช่น กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid), กลีเซอรีน (Glycerin) หรือ น้ำมันธรรมชาติ เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิว นอกจากนี้ควรเลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อครีมหรือโลชั่นเพื่อให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีและช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแห้งแตกเมื่อเจอแสงแดด
  • ผิวมัน: สำหรับผู้ที่มีผิวมัน ครีมกันแดดที่เหมาะสมคือสูตรที่มีเนื้อเบา เช่น เนื้อเจล หรือ สูตรน้ำ ซึ่งซึมซาบเร็วและไม่ทิ้งคราบมันบนผิว นอกจากนี้ควรมองหาครีมกันแดดที่ระบุว่าเป็นสูตร ปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และ ควบคุมความมัน (Matte finish) เพื่อช่วยลดความมันระหว่างวันและป้องกันการอุดตันของรูขุมขน
  • ผิวผสม: ผู้ที่มีผิวผสมควรเลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อบางเบาและซึมง่าย โดยเลือกสูตรที่สามารถให้ความชุ่มชื้นในบริเวณผิวแห้งและควบคุมความมันในบริเวณผิวมันได้ดี สูตรเจลหรือครีมกันแดดแบบน้ำอาจเป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจากสามารถใช้งานได้ทั่วทั้งใบหน้าโดยไม่ทำให้รู้สึกเหนอะหนะ
  • ผิวแพ้ง่าย: ผิวแพ้ง่ายต้องการการปกป้องที่อ่อนโยนและปลอดภัย ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีสูตร ปราศจากน้ำหอม, พาราเบน และสารเคมีที่ทำให้ระคายเคือง เช่น ซิงก์ออกไซด์ หรือ ไทเทเนียมไดออกไซด์ ซึ่งเป็นส่วนผสมจากธรรมชาติที่มักพบในครีมกันแดดแบบ Physical ที่ช่วยปกป้องผิวโดยไม่ทำให้เกิดอาการแพ้

วิธีเลือกครีมกันแดด ตามกิจกรรม

วิธีเลือกครีมกันแดด ตามกิจกรรมการเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับกิจกรรมที่ทำเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดดและรังสียูวี แต่ละกิจกรรมมีความต้องการที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ครีมกันแดดที่ถูกต้องจะช่วยให้ผิวไม่ถูกทำร้ายและลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • กิจกรรมกลางแจ้ง: สำหรับผู้ที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น การวิ่ง, ปั่นจักรยาน, หรือเดินทางท่องเที่ยว ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง (SPF 50 ขึ้นไป) และมีคุณสมบัติกันน้ำ (Water-resistant) เพื่อให้การป้องกันรังสียูวียังคงมีประสิทธิภาพแม้มีเหงื่อออกหรือสัมผัสน้ำ ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารที่ทนต่อเหงื่อจะช่วยให้ผิวได้รับการปกป้องยาวนานโดยไม่ต้องทาซ้ำบ่อยๆ
  • อยู่ในที่ร่มหรือในออฟฟิศ: แม้จะอยู่ในที่ร่มหรือทำงานในออฟฟิศ แต่การใช้ครีมกันแดดก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็น เนื่องจากแสงจากหลอดไฟหรือแสงที่สะท้อนจากหน้าต่างยังสามารถส่งผลต่อผิวได้ ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF ประมาณ 15-30 ซึ่งเพียงพอสำหรับการปกป้องผิวในที่ร่ม และควรเลือกสูตรที่เบาบาง ซึมซาบเร็ว และไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะ เพื่อให้เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวัน
  • กิจกรรมทางน้ำ: สำหรับกิจกรรมทางน้ำ เช่น การว่ายน้ำหรือกิจกรรมทางทะเล ควรเลือกครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติกันน้ำและมีค่า SPF สูงเพื่อให้การปกป้องไม่หลุดลอกง่ายเมื่อโดนน้ำ ควรทาครีมกันแดดซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมงหรือหลังการขึ้นจากน้ำเพื่อให้มั่นใจว่าผิวยังคงได้รับการปกป้องอย่างต่อเนื่อง
  • การเล่นกีฬา: การเล่นกีฬานอกบ้านที่ต้องมีการเคลื่อนไหวมาก เช่น ฟุตบอล, เทนนิส หรือวิ่ง ควรเลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อบางเบา ซึมซาบเร็ว และไม่เหนียวเหนอะหนะ เพื่อให้สะดวกในการเคลื่อนไหวและไม่ทำให้รู้สึกไม่สบายผิว ครีมกันแดดสูตรเจลหรือสเปรย์กันแดดอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากสามารถทาซ้ำได้ง่ายระหว่างการเล่นกีฬา

ค่า SPF และ PA สำคัญอย่างไร

ค่า SPF และ PA สำคัญอย่างไรการเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ขึ้นอยู่กับเนื้อสัมผัสหรือประเภทของครีมเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงค่า SPF และ PA ซึ่งเป็นตัวชี้วัดระดับการป้องกันรังสีอันตรายจากแสงแดดที่มีผลกระทบต่อผิวหนัง จากการสำรวจพบว่าประชากรกว่า 90% ของผู้ที่ไม่ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ มีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาผิวและมะเร็งผิวหนังมากขึ้นถึง 30% ดังนั้นการเข้าใจความหมายและความสำคัญของค่าเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกครีมกันแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ค่า SPF (Sun Protection Factor)

ค่า SPF เป็นตัวชี้วัดความสามารถในการป้องกันรังสี UVB ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการผิวไหม้แดดและปัญหาผิวหนังอื่นๆ ค่า SPF ที่สูงขึ้นจะหมายถึงความสามารถในการปกป้องผิวจากการไหม้แดดได้นานขึ้น โดยครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 จะป้องกันรังสี UVB ได้ประมาณ 93% ในขณะที่ค่า SPF 30 ป้องกันได้ 97% และค่า SPF 50 ป้องกันได้ถึง 98% อย่างไรก็ตาม ค่า SPF ที่เกิน 50 อาจให้การป้องกันเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ความหนาและความเหนียวของครีมอาจเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน ซึ่งพบในผู้ใช้ประมาณ 20-30% ของผู้ที่ใช้ครีมกันแดดค่า SPF สูง

ค่า PA (Protection Grade of UVA)

ค่า PA เป็นตัวชี้วัดความสามารถในการป้องกันรังสี UVA ซึ่งเป็นรังสีที่สามารถเจาะลึกเข้าสู่ชั้นผิวและทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยและการทำลายคอลลาเจนในผิว การศึกษาพบว่ารังสี UVA เป็นสาเหตุหลักของริ้วรอยและความเสื่อมของผิวในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ค่า PA จะแสดงในรูปของเครื่องหมายบวก (+) โดย PA+ หมายถึงการป้องกันระดับต่ำที่สามารถป้องกันรังสี UVA ได้ประมาณ 2-4 เท่า ในขณะที่ PA++++ สามารถป้องกันได้สูงสุดถึง 16 เท่า การเลือกค่า PA ที่เหมาะสมจึงควรพิจารณาจากการทำกิจกรรมกลางแจ้งหรือต้องการการป้องกันเพิ่มเติมจาก UVA ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย

ความสำคัญของค่า SPF และ PA

การเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF และ PA ที่เหมาะสมสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาผิวต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ผิวไหม้แดด ริ้วรอยก่อนวัย และมะเร็งผิวหนัง ซึ่งข้อมูลจากสมาคมโรคผิวหนังแห่งชาติระบุว่าการใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปและทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ถึง 50% ทั้งนี้ควรทาครีมกันแดดในปริมาณที่เพียงพอ โดยควรใช้ครีมกันแดดประมาณ 2 มิลลิกรัมต่อตารางเซนติเมตรของผิว และทาซ้ำตามความเหมาะสมเพื่อให้การป้องกันมีประสิทธิภาพตลอดวัน.


วิธีการทาครีมกันแดดให้มีประสิทธิภาพ

วิธีการทาครีมกันแดดให้มีประสิทธิภาพการทาครีมกันแดดเป็นขั้นตอนสำคัญในการปกป้องผิวจากการถูกทำร้ายโดยรังสียูวี (UV) ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาผิวหลายอย่าง เช่น ผิวไหม้แดด ริ้วรอยก่อนวัย และมะเร็งผิวหนัง งานวิจัยชี้ว่าประมาณ 80% ของริ้วรอยเกิดจากการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง ดังนั้น การรู้วิธีการทาครีมกันแดดอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้การปกป้องผิวมีประสิทธิภาพสูงสุดและยาวนานตลอดวัน

  1. ปริมาณการใช้ที่เหมาะสม: การใช้ครีมกันแดดในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันรังสียูวี โดยทั่วไปควรใช้ครีมกันแดดในปริมาณ 2 มิลลิกรัมต่อตารางเซนติเมตรของผิว ซึ่งเท่ากับประมาณ 1/4 ช้อนชา (หรือประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ) สำหรับการทาทั่วใบหน้าและลำคอ หากใช้ปริมาณน้อยกว่านี้ ประสิทธิภาพในการป้องกันอาจลดลงควรทาให้ทั่วทุกจุดบนใบหน้า รวมถึงบริเวณที่มักถูกละเลย เช่น ริมฝีปาก ขอบหู และลำคอ
  2. เวลาที่เหมาะสมในการทา: ควรทาครีมกันแดดก่อนออกแดดประมาณ 15-30 นาที เพื่อให้ครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวและสร้างเกราะป้องกันที่มีประสิทธิภาพ หากทาทันทีเมื่อต้องออกแดด การป้องกันอาจยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งอาจทำให้ผิวเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายจากรังสี UVB และ UVA โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00-16.00 น. ที่มีความเข้มข้นของรังสีสูงที่สุด
  3. การทาซ้ำระหว่างวัน: เพื่อให้การป้องกันยังคงมีประสิทธิภาพ ควรทาครีมกันแดดซ้ำทุกๆ 2-3 ชั่วโมง โดยเฉพาะเมื่อทำกิจกรรมที่มีการสัมผัสน้ำหรือมีเหงื่อออกมาก เช่น การว่ายน้ำหรือการออกกำลังกาย กลุ่มวิจัยพบว่าครีมกันแดดที่กันน้ำได้มักจะป้องกันการหลุดลอกได้ดีขึ้นถึง 40-80 นาที แต่หลังจากนั้นควรทาซ้ำเพื่อให้การปกป้องยังคงมีประสิทธิภาพ
  4. การเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสม: การเลือกใช้ครีมกันแดดที่เหมาะสมกับกิจกรรมและสภาพผิวของตนเองเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปจะป้องกันรังสี UVB ได้ประมาณ 97% และควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า PA+++ ขึ้นไปสำหรับการป้องกันรังสี UVA เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดริ้วรอยและความเสียหายของผิว
  5. การทาครีมกันแดดร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่น: หากใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอาง ควรทาครีมกันแดดเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนการแต่งหน้า เพื่อให้ครีมกันแดดเป็นชั้นป้องกันที่อยู่บนสุดของผิว และไม่ควรลืมทาครีมกันแดดซ้ำเมื่อจำเป็น รวมไปถึงใช้อุปกรณ์กันแดดร่วมด้วย โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่กลางแจ้งนานๆ หรือทำกิจกรรมที่เหงื่อออกเยอะ

วิธีเลือกครีมกันแดด ที่เหมาะสมกับสภาพผิวและกิจกรรมไม่เพียงแค่ช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายของรังสียูวี แต่ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและป้องกันปัญหาผิวในระยะยาว อย่าลืมทดลองใช้และสังเกตผลลัพธ์ที่ได้ เพื่อค้นหาครีมกันแดดที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณมากที่สุด เพราะการดูแลผิวให้แข็งแรงและมีสุขภาพดีเริ่มต้นจากการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและการดูแลที่ถูกต้อง


คำถามที่พบบ่อย

1. ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF เท่าไรดี?

ขึ้นอยู่กับกิจกรรมและระยะเวลาที่ต้องการป้องกัน หากอยู่ในที่ร่มหรือทำงานในออฟฟิศ ค่า SPF 15-30 ก็เพียงพอ แต่ถ้าต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งหรือเล่นกีฬา ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไป และควรเลือกสูตรที่กันน้ำได้ด้วย

2. ครีมกันแดดแบบ Physical และ Chemical ต่างกันอย่างไร?

ครีมกันแดดแบบ Physical หรือ Mineral จะทำงานโดยสะท้อนรังสียูวีออกจากผิวหนังและเหมาะกับผิวแพ้ง่าย ส่วนครีมกันแดดแบบ Chemical จะดูดซับรังสียูวีและเปลี่ยนเป็นความร้อน จึงซึมเข้าสู่ผิวได้ง่ายและไม่ทิ้งคราบขาว

3. ควรทาครีมกันแดดบ่อยแค่ไหน?

ควรทาครีมกันแดดทุกๆ 2-3 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแจ้ง และถ้ามีกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกหรือว่ายน้ำ ควรทาซ้ำทันทีหลังจากกิจกรรมนั้นเพื่อให้การป้องกันยังคงมีประสิทธิภาพ

4. คนผิวมันควรเลือกครีมกันแดดแบบไหน?

สำหรับคนผิวมัน ควรเลือกครีมกันแดดเนื้อเจลหรือสูตรที่ควบคุมความมันและซึมเร็ว เพื่อไม่ให้รู้สึกเหนอะหนะหรือเพิ่มความมันบนใบหน้า


อ้างอิง

โปรดรอสักครู่ กำลังโหลดความคิดเห็นของเพื่อน ๆ และเพื่อเขียนความคิดเห็นของคุณ